วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

นิพพาน มิได้มีความหมายเป็นบ้านเมือง หรือโลกของพระเป็นเจ้า



นิพพาน มิได้มีความหมายเป็นบ้านเมือง

หรือโลกของพระเป็นเจ้า

ที่เต็มไปด้วยความสุขชนิดที่ใฝ่ฝันกันและเป็นอยู่อย่างนิรันดร



     ผ่านมาเกือบครึ่งปีที่ผมจบสถานะ การเป็นนักศึกษาโดยการเข้ารับปริญญา และกลายเป็นคนหนุ่มที่รู้สึกแปลกแยกออกไปจากคนรุ่นเดียวกันเพียงเพราะคำง่ายๆไม่กี่คำ คือ”ตัวกู-ของกู” ในขณะที่หลายคนเริ่มหางานทำ ผมยังคงนิ่งเฉยใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ สายตาญาติพี่น้องมองว่าผมเป็นคนขี้เกียจและไม่สู้งาน  ทุกอย่างเลวร้ายมากขึ้นเลื่อยๆเมื่อผมรู้สึกตามที่ผู้อื่นรู้สึกต่อตัวเอง คือรู้สึกว่าตัวเราไม่ได้เรื่องและกำลังเดินผิดทาง ผมกำลังจมลงไปสู่หุบเหวแห่งความมืด

     เช้านี้ฝนตกเบาๆ คิดว่าคงเป็นฝนชุดแรกที่บอกว่าถึงฤดูฝนแล้ว กลิ่นเปรี้ยวๆของแกงส้มลอยมาทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน “กาล...ตื่นได้แล้วลูก” มันไม่ปกติที่พ่อจะมาปลุกผมเช้าแบบนี้ เพราะว่าพ่อมีนโยบายให้อิสระกับลูกชายและลูกสาวอย่างเต็มที่ แม้ครั้งสุดท้ายพี่สาวจะตอบแทนท่านด้วยการหนีตามผู้ชายไป จบลงด้วยหลานสองคนที่ต้องมาเป็นภาระให้พวกท่านทั้งสอง แม้ว่าเธอจะกลับมาเลี้ยงดูลูกทั้งสอง แต่เธอก็ไม่เคยกล่าวคำขอโทษเลยสักครั้ง เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นมาเลย



“นิพพาน”

มีความหมายเป็น ความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนเผาลน,

ความเสียบแทงยอกตำ

และความผูกพันร้อยรัด อันมีอยู่ในจิตใจของมนุษย์

โดยตัดต้นเหตุแห่งความเป็นอย่างนั้นเสียได้สิ้นเชิง



   สองปีก่อน ขณะที่ผมกินเหล้าเมามายอยู่ที่ร้านเหล้าด้วยเงินที่พ่อและแม่ส่งมาให้เล่าเรียน เสียงแม่เศร้าๆกรอกผ่านหูโทรศัพท์มาถึงผม “ลูก...คุณย่าเส้นเลือดในสมองแตก” ภาพที่เด่นขึ้นมาในหัวของผมคือ “พ่อ”ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านจะรู้สึกอย่างไร ตลอดชีวิตของท่าน สิ่งที่ตอบแทนปู่กับย่าคือคำว่าผิดหวัง ผมจินตนาการไม่ออกจริงๆเมื่อท่านหัวถึงหมอน ท่านจะหลับตาลงได้อย่างไร กับสิ่งที่ท่านได้ทำผิดผลาดลงไป ในปีที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตกการลงทุนที่ดินบ้านจัดสรรทำให้สมบัติทั้งหมดของตระกูลหายไปในพริบตา ถึงตอนนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับพ่อ แต่ไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาปลอบท่านได้ ผมรู้สึกว่าคำพูดที่ออกมามีแต่เปลือก และมันทำให้ผมทุกข์ ที่ไม่สามารถหาทางออกหรือคำตอบใดๆบอกกับตนเองถึงวิธีเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้

ผมยังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้แม่นยำ เหมือนเราอยู่ในหุบเหว เงามืดทำให้เราตาบอด ใช้มือลูบคลำทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาและมีความสุขกับมันและเมื่อคมหินบาดมือ เราก็แค่ร้องไห้ แล้วเมื่อแผลหายก็กลับไปลูบคลำใหม่  รู้สึกว่าชีวิตมันมีอยู่เพียงเท่านี้ อะไรคือจุดหมายปลายทางของชีวิต ใครๆก็เข้าใจว่ามีสุขก็ต้องมีทุกข์ แต่นั้นมันเปลือกทั้งนั้น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงหลอกตัวเองมาได้เกือบยี่กิบกว่าปีว่าชีวิตคืออะไร ความจริงเราไม่แม้แต่จะคิดจะหาคำตอบด้วยซ้ำ ว่าชีวิตคืออะไร ตื่น ทำงาน เสพกาม วนเวียนอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  หลายครั้งที่ผมมองออกไปเห็นผู้คนมากมาย และเกิดคำถามว่า “ไม่รู้สึกถึงอะไรแปลกๆบ้างรึ” ไม่รู้สึกว่าเราเป็นนักโทษ จำเลย ผู้ต้องหา บ้างเลยหรืออย่างไร



ความเป็นอย่างนี้ มีอยู่อย่างเป็นอนันตกาล คือมีอยู่ในทุกแห่งและทุกเวลา พร้อมที่จะปรากฏแก่จิต ซึ่งปาศจากกิเลสอยู่เสมอ, เราจึงกล่าวว่านิพพานมีสถาพเป็นนิรันดร, มีอยู่ในที่ทุกแห่งทุกเวลาอย่างไม่ขาดระยะ ใกล้ชิดติดอยู่กับตัวเราในวัฏฏสงสารนี่เอง หากแต่เข้าไม่ถึงหรือมองไม่เห็น เพราะจิตมีกิเลสซึ่งเป็น “เปลือก” ชนิดหนึ่งห่อหุ้มอยู่



  หลังจากทานแกงส้มเป็นข้าวเช้า พ่อบอกผมว่าสายวันนี้จะพาผมไปหาเจ้าอาวาสเพื่อปรึกษาเรื่องบวช เพราะใกล้จะเช้าพรรษาในอีกไม่กี่อาทิต ถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อนผมคงเดินหนี ไม่เห็นความจำเป็น แต่ตอนนี้ผมเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบ มันช่วยไม่ได้ที่ความทุกข์มากเกินไปจะปลุกให้ตื่นจากความฝัน แม้จะยังหลับๆตื่นๆ แต่นี้เป็นโอกาส ที่ผมจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว สองปีมาแล้วที่ผมรอคอยโอกาสนี้ เมื่อทุกอย่างลงตัว ผมเอยปากขอในสิ่งที่ผมต้องการมาตลอดสองปี และเชื่อแน่ชัดว่าเรามาถูกทางแน่นอน “พ่อ...ผมอยากไปบวชกับพ่อ”น้ำตาผมไหลออกมาเฉยๆ คิดไม่ออกว่าทำไมมันถึงไหลออกมาไม่หยุด ผมแค่รู้สึกว่าทั้งชีวิตที่เกิดมา ได้เดินทางมาไกล มาพบผู้ชายคนนี้ ได้เป็นลูก และไม่เสียใจที่เรื่องราวร้ายๆมากมายได้เกิดกับเรา กลับรู้สึกขอบใจเรื่องราวที่ต้องทุกข์ทนต่างๆ ที่นำพาเราทั้งสองมาอยู่ในบทสนทนานี้ และผมกำลังส่งมอบสมบัติ ความหวัง ความจริงให้กับพ่อของผม



มองดูกันอีกด้านทางหนึ่ง

เมื่อจิตประกอบด้วยปัญญา มองเห็นสภาพแห่งความเป็นเช่นนั้นของนิพพาน หน่วงเอานิพพานนั้นเป็นอารมณ์ โดยมีความสลดสังเวชในความหลงของตนในกาลก่อนแล้ว กิเลสก็เริ่มเหือดแห้งไปตาม, ฉะนั้น จึงกล่าวว่า นิพพานเป็นธรรมเครื่องดับแห่งกิเลสและความทุกข์ทั้งหลาย



     ผ่านมาเกือบครึ่งปีที่ผมจบจากเป็นพระ และกลายเป็นคนหนุ่มที่รู้สึกแปลกแยกออกไปจากคนรุ่นเดี่ยวกันเพียงเพราะคำง่ายไม่กี่คำคือ”ตัวกู-ของกู ในขณะที่หลายคนเริ่มหางานทำ ผมเดินทางกลับเข้ากรุงเทพและได้งานพาททามเป็นพนักงานเดินตั๋วหนังพอมีเงินประทังชีวิต ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนได้รับอิสรภาพ สามเดือนในฤดูฝนที่วัดป่านั้นตอบทุกคำถามที่ผมมี  ผมกลายเป็นคนไม่มีพ่อ เมื่อท่านกลายเป็นหลวงพ่อ ผมกราบท่าน เรามองตากัน ขอบคุณซึ่งกันและกันผ่านดวงตาคู่นั้นอ้อมกอด ในขณะที่กอดผมไม่พบความรู้สึกทุกข์ของท่าน แน่นอนผมรู้เส้นทางของผมชัดเจน ท่านก็เช่นกัน รู้ว่ามันไกลและแสนยากลำบาก แต่อย่างน้อยเราทั้งสองก็ได้รู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ ไม่ไกลเกินกว่าจะไปถึง เราทั้งสองไม่ตาบอดอีกแล้ว ไม่เสียทีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ยังเหลืองานสำคัญอีกหนึ่งชิ้นคือ “แม่”  ผมบอกกับตัวเองว่า จะต้องพาแม่ขึ้นมาบนวัดป่าแห่งนี้ให้ได้ในสักวันหนึ่ง แล้วผมจะได้จบการเดินทางของตัวเองเช่นกัน  



แต่เมื่อสรุปแล้ว

พิพานนั้นก็คือสภาพอันเป็นความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนเผาลน. ความเสียบแทงยอกตำ, และความผูกพันร้อยรัด ของมนุษย์ในทางจิตดังกล่าวแล้ว. กิริยาที่ความเร่าร้อนเป็นต้นเปล่านั้นดับลง นั้นคือ กิริยาที่จิตลุถึงความสิ้นกิเลสหรือลุถึงนิพพาน เรืยกว่า การนิพพาน. การนิพพานของมนุษย์เราโดยที่แท้ก็คือความที่จิตของคนเราเข้าถึงสภาพแห่งความไม่มีความเร่าร้อนเผาลน, ความเสียบแทงยอกตำ, และความผูกพันร้อยรัด    อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงโดยประการทั้งปวงนั้นเอง


บทความด้วยความเมตตา โดยปากกาหัก

ไม่มีอีกต่อไป เเม้นในอากาศหายใจ


    ปากกาเก่าๆให้ความหมายเเก่ชีวิตผม  มือขวที่ตายด้านของผม จับมันด้วยความรู้สึกเหมือนตนอยู่บนหน้าผาสูง เพื่อข้ามพ้นความทุกข์ ความกลัว ความโดดเดี่ยว..............หมึกสีน้ำเงินนำพาความรู้สึกจากจิตวิญญาณของผม ไปสู่เส้นทางบนกระดาษที่ว่างเปล่า  ตัวหนังสือที่ลัดเลี้ยวไปมาประกอบกันเป็นเรื่องราวความจริง ทำให้กระดาษเเผ่นนี้มีความหมายสำหรับผมที่สุด ผมรักกระดาษเเผ่นนี้เข้าเเล้ว  มันจะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป   
     
         จากนี้ไปผมจะพูดกล่าวถึงเรื่อง "ความหมาย"   ผมคิดๆดูเเล้ว ถ้าผมฉีกกระดาษแผ่นนี้ตอนนี้ทันที ผมคงจะผิดหวัง เศร้าเสียใจเพราะผมกำลังทำลายสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของผม  ผมมีพันธะกับกระดาษแผ่นนี้  ถึงจะเป็นแค่สิ่งของก็เถอะนะ
ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี  ผมขอเปรียบเทียบกับเรื่องราวเก่าๆเรื่องหนึ่ง  ตอนนั้นผมอายุ2ขวบ ยังไม่เข้าใจประจักษ์ในคำว่า “ความหมาย”  ยังไม่รู้จักคำว่าชีวิต  ยังไม่มีความเข้าใจในรสชาติอะไรเลย     “ก็แค่นั้นเองครับ”   พ่อของผมถูกรถ10ล้อชน หรือที่เรียกด้วยภาษาง่ายๆว่า “ตายโหง” อะครับ  แม่เล่าให้ฟังตอนผมโตว่า วันงานศพพ่อ ผมวิ่งเล่นรอบๆโลงศพหัวเราะเสียงดังและตะโกนว่า “พ่ออยู่ในนี้” อย่างมีความสุข  มันน่าสนใจตรงนี้แหละครับ ทำไมแม่ถึงร้องไห้เหมือนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกเถื่อนๆใบนี้  เพราะความหมายหรอ ที่พ่อมีต่อแม่  เหมือนกับกระดาษแผ่นนี้และตัวผม 

ลองคิดดูให้ดีนะครับ  ลองเปิดใจมองไปรอบๆตัว อะไรที่เป็นของคุณบ้าง?  อะไรที่มีอิทธิพลต่อคุณมากที่สุดในชีวิต  อะไรคือสิ่งที่ล้ำค่าและมหัศจรรย์..........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................เชื่อเถอะครับ สิ่งที่คุณกำลังคิดถึงอยู่นั้น  วันหนึ่งมันจะสูญสลายเป็นเถ้าธุลีครับ  ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้นแต่ตัวเรา ร่างกายเรา ความคิดเรา       คุณ ผม หรือใครก็ตามครับ  ขณะที่คุณกำลังสร้างความหมาย ให้กับโลกใบนี้ หรือห่าเหวอะไรก็แล้วแต่นะ........................หัดให้ความหมายกับจิตวิญญาณของตนเองบ้าง  เราทุกคนต่างมีความหมายครับ  ถ้าผิดหวังกับอารมณ์ เรื่องราวทางสังคม ก็ลองทำตัวเป็นเด็กอายุ2ขวบซะ  เดียวผมต้องหานิทานฟังซะแล้วสิ เพราะผมกำลังจะฉีกกระดาษแผ่นนี้ หลังจากบทความนี้จบลง


 


 





วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

07-12-2012

เวลา ตี3:16 
อากาศ19องค์ศา  คุณนอนหลับ.....บนที่นอนอันอบอุ่นที่สุด  ผมหวังว่าอย่างนั้น..............................ผมขับรถ   ถนนว่างเปล่าประปรายกลมกลืนกับหมอกในฤดูหนาว  เเสงสีทองมหัศจรรย์เปิดทางให้ผมขับรถอย่างไร้จุดหมาย  เสียงเพลงจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆนำทางผมไปสู่คุณ    รู้มั้ยครับวันนี้พระจันทร์เศร้าบรรลัย มันโดดเดี่ยวไม่เคยนิทรา ผมได้เเต่มองเเล้วรู้สึกถึงคุณ   พอนึกถึงคุณทีไรรู้สึกตัวเองโง่ทุกที โง่เพราะความคิดที่ทำไม่ได้  ผมอยากจะยกโลกใบนี้ให้มีเเค่เราสองคน เพื่อที่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง  ผมอยากจะเดินเพื่อตามหาความเข้าใจ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าผมต้องการเข้าใจอะไร เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ต้องการคำตอบทั้งที่ยังไม่มีคำถาม ข้อนข้างจะประสาทเเดกนะราตรีนี้ เป็นห่าอะไรกัน  เพลงสุริยุปราคา ผมเเหกปากร้องในความมืดตอนนี้ "ทำไมมันถึงเศร้า"  ร้องมาเป็นเเสนๆรอบไม่เคยรู้สึกจะเป็น เเสดงว่าเพลงนี้มีความหมายต่อผม  เเสดงว่าวันนี้ เวลานี้ ค่ำคืนนี้ ถนนเส้นนี้ รถคันนี้ ล้วนเเล้วเเต่มีความหมาย  คุณ.......ทำไมชื่อคุณถึงไพเราะเหมือนเสียงเปียโน คีย์E    ความงดงาม การเจริญเติบโต ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เสียงเพลงที่ไพเราะ ศิลปะที่ไม่มีวันตาย ผมจะให้คุณ จะรำลึกถึงคุณ


ความงดงาม จักรวาลจงมีเเต่คุณ?

ผมอยากจะบันทึกให้คุณเห็นสิ่งเดียวกับผม